ตอนที่ 145: นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง
322 Viewsในคืนนั้น เหยินปาเชียนนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง ความคิดยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ในที่สุดความคิดดังกล่าวก็วิ่งวนไปที่หัวใจเขาแล้วก็ฝังลงไป
ในขณะเดียวกัน จักรพรรดินีก็นอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ชั้นล่างพร้อมกับพยายามจะนอนให้หลับ ในทำนองเดียวกัน นางเองก็ไม่สามารถนอนหลับได้ด้วยเช่นกัน ในบางครั้ง นางจะถอนหายใจออกมา
ในช่วงสองวันมานี้ นางยิ่งรู้สึกสับสนและไม่อยู่ในความสงบมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลุกจากเตียง นางดึงผ้าม่านแล้วมองไปที่ตึกสูง นางมองดูดวงไฟหลากสีและหิมะสีขาวบริสุทธิ์ภายใต้แสงจันทร์ข้างนอก
ที่ชั้นแรกกับชั้นสองในบ้านเดียวกัน คนสองคนต่างครุ่นคิด
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อจักรพรรดินีตื่นขึ้นมา นางก็ยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่นี่อยู่ดี ไม่มีใครตักน้ำมาให้นาง และไม่มีใครมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้อยู่ในพระราชวังที่หนาวเย็นและเงียบสงบตามปกติ
ในขณะที่นางกำลังคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เหยินปาเชียนก็เคาะประตูแล้วพูดออกมา “ฉีจี่เซียว ได้เวลาตื่นนอนแล้วนะ”
ในตอนที่จักรพรรดินีเปิดประตูแล้วเดินออกมาจากห้อง เหยินปาเชียนก็ทำอาหารเช้าในครัวแล้ว เขาทำโจ๊ก ไข่ดาว เค้กไข่ และสลัด เขาได้เตรียมส่วนผสมไว้เมื่อคืนที่ผ่านมา
“ขอเวลาซักแป๊บนึงนะ” เหยินปาเชียนหันกลับมายิ้มให้จักรพรรดินี เขาตั้งเวลาเตาไฟฟ้าแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เขาเปิดทีวีแล้วเปลี่ยนเป็นช่องข่าวภาคเช้า
“ดูทีวีไปก่อนก็ได้” เหยินปาเชียนเสนอ
จักรพรรดินีพยักหน้า จากนั้นนางก็นั่งบนโซฟาแล้วดูข่าวภาคเช้า ในบางครั้งนางจะหันกลับมาเหลือบมองเหยินปาเชียนที่กำลังยุ่งวุ่นวาย แล้วนางก็หันกลับไปดูทีวี
จากมุมมองของจักรพรรดินี บ้านหลังนี้มีขนาดเล็กมาก ต่อให้นางรวมบ้านแบบนี้ไว้ด้วยกันหกหลัง ก็ยังมีขนาดเล็กกว่าพระราชวังหย่างซินอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม เช้านี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่นางเป็นพิเศษ
หลังจากที่ทำอาหารเช้าแล้ว เหยินปาเชียนก็หันหลังกลับมาแล้วจ้องไปยังจักรพรรดินีที่นั่งอยู่บนโซฟา แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วส่องผ่านตัวของจักรพรรดินี ดูเหมือนนางจะอารมณ์ดีมากทีเดียว
ในขณะที่รับประทานอาหารเช้า พวกเขาก็ไม่ได้คุยกันเลย บรรยากาศแสนสุขสบายและอบอุ่นได้ล้อมรอบพวกเขาไว้
มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขาทั้งสองคน
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เหยินปาเชียนก็เก็บชามกับตะเกียบ ตอนที่เขาออกมาจากห้องครัว เขารับรู้ว่าจักรพรรดินีกำลังดูทาเลนต์โชว์อยู่
“พวกเค้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ ?” จักรพรรดินีถามด้วยความงุนงง
ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขียนอยู่บนหน้าจอ แต่นางก็ยังสามารถเข้าใจสิ่งที่พูดออกมาได้
“มันคือทาเลนต์โชว์ที่ให้ผู้คนแสดงความสามารถพิเศษออกมาน่ะ”
“มันมีประโยชน์กับแคว้นยังไงรึ ?”
“ในโลกของพวกเราน่ะ พวกเราจะทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเป็นประโยชน์ต่อแคว้น ทั้งอาหาร เสื้อผ้า การจับจ่ายใช้สอย และการพำนักพักอาศัยนั้นจัดว่าเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุ นอกเหนือจากวัฒนธรรมทางวัตถุแล้ว ก็ยังมีวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณด้วย หลังจากที่ผู้คนได้เติมเต็มความต้องการด้านวัตถุแล้ว พวกเค้าก็จะรู้สึกว่างเปล่าทางด้านจิตวิญญาณ พวกเค้าจะต้องการสิ่งต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อเติมเต็มชีวิตทางด้านจิตวิญญาณของตัวเอง การร้องเล่นเต้นรำ การแสดง การอ่าน และการหารู้ความรู้ใหม่ ๆ นั้นสามารถเติมเต็มความต้องการทางจิตวิญญาณได้ สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างความสุขให้แก่ผู้คนได้ล่ะนะ” เหยินปาเชียนอธิบาย
“ถึงแม้ว่าชนเผ่าจะมีความแข็งแกร่งทางกาย แต่พวกเค้าก็ต้องทำงานหนักเพื่อความอยู่รอด นี่คือสิ่งเดียวที่ทุกคนคิด” จักรพรรดินีตอบกลับมา
“นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างสองโลกนี้ เมื่อความต้องการด้านวัตถุของประชาชนเป็นที่พอใจ พวกเค้าก็จะแสวงหาความต้องการทางด้านจิตวิญญาณ” เหยินปาเชียนเล่าต่อ เขานั่งอยู่ไม่ไกลจากจักรพรรดินี
“วันนี้อยากไปดูอะไรมั้ย ?”
“ก็มีหลายอย่างที่อยากดูนะ ชั้นอยากเห็นแง่มุมต่าง ๆ ของสังคมนี้น่ะ” จักรพรรดินีเผชิญหน้ากับเขาแล้วพูดออกมา
“ผมจะพาเธอออกไปดูข้างนอก เราจะไปกันทุกที่ที่เธอสนใจนะ” เหยินปาเชียนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดออกมา
“เอาสิ”
เมื่อวานนี้ ตอนที่พวกเขาออกมา มันก็ค่อนข้างสายแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีแสงสว่างทุกที่ แต่ทิวทัศน์ตอนเช้าก็ยังดูแตกต่างจากทิวทัศน์ตอนกลางคืนอยู่ ผู้คนมากมายต่างสวมเสื้อผ้าหนา ๆ รอแท็กซี่ หรือไม่ก็เดินโหยงเหยงบนถนนทั้งสองฝั่ง ทุกคนต่างเร่งรีบ
“ก้าวย่างชีวิตที่นี่รวดเร็วมาก ทุกคนทำงานกันอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของตัวเอง หรือไม่ก็ทำตามความปรารถนาของตน โดยเฉพาะเมื่อคนเรามีอายุมากและเกษียณแล้ว ก็สามารถนอนอาบแดด ไม่ทำงานทำการ และเพลิดเพลินกับช่วงบั้นปลายชีวิตได้”
จักรพรรดินีมองดูคนเดินถนน จากนั้นนางก็ย้ายสายตาไปยังอาคารสูงรอบตัว ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความทันสมัย
“นี่คือร้านขายกระเป๋าถือ กระเป๋าถือเป็นสิ่งที่คนพวกนั้นพกติดตัว…” เหยินปาเชียนแนะนำร้านค้าบนถนนทั้งสองฝั่ง
“นี่คือร้านขายดอกไม้ที่ขายดอกไม้โดยเฉพาะ…”
“นี่คือร้านหนังสือที่ขายหนังสือโดยเฉพาะ…”
“หยุดก่อน ชั้นอยากลงไปดู” จักรพรรดินีพูดออกมาทันที เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหยินปาเชียนจึงเลี้ยวแล้วพยายามหาที่จอดรถ
เนื่องจากหิมะหยุดตกแล้ว สภาพอากาศจึงหนาวมาก จักรพรรดินีสวมแค่เสื้อคลุมที่มีชุดสีแดงอยู่ข้างใน เผยร่องอกเล็กน้อย เครื่องแต่งกายแบบนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางดูดีแทนที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีใครเห็นหน้านาง พวกเขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่านางมีคุณสมบัติที่จะทำอย่างนั้น
เหยินปาเชียนและจักรพรรดินีเดินเข้าไปในร้านหนังสือ มันเป็นอาคารสูง 3 ชั้น ชั้นแรกคือแผนกชำระเงิน ชั้นที่สองมีชั้นหนังสือต่าง ๆ และชั้นที่สามมีสื่อภาพและเสียง
เมื่อพวกเขาเข้าไปในร้านหนังสือแล้ว จักรพรรดินีก็ยังคงจ้องมองทีวีพลาสมา ทีวีพลาสมาจะแนะนำชั้นหนังสือต่าง ๆ
เมื่อมาถึงชั้นที่สองแล้ว ตอนที่จักรพรรดินีได้เห็นหนังสือมากมายมหาศาล ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยความหลงใหล
จำนวนหนังสือที่นี่เยอะกว่าในพระราชวังชิงซินหลายเท่า
เมื่อเดินผ่านชั้นหนังสือ นางก็สามารถได้กลิ่นของหนังสือ
ตอนที่จักรพรรดินีเห็นทุกคนเลือกหนังสือแล้วซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล นางก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้เลย
ในแง่มุมนี้ ต้าเย่านั้นเทียบกับดาวโลกไม่ติดเลย ในต้าเย่านั้น หนังสือยังคงมีราคาแพงสำหรับผู้คนจำนวนมาก ถึงแม้ว่าจะมีนักวิชาการอยู่หลายคน จำนวนคนก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรต้าเย่า
เมื่อเดินออกจากร้านหนังสือแล้ว เหยินปาเชียนก็พาจักรพรรดินีไปเที่ยวรอบเมือง เพื่อที่นางจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกนี้สักอย่างสองอย่าง
เมื่อถึงช่วงบ่าย เหยินปาเชียนก็ถามจักรพรรดินี “วันนี้เธออยากกินหม้อไฟมั้ย ? อากาศแบบนี้เหมาะกับการกินหม้อไฟมากเลยนะ”
“เอาสิ”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในภัตตาคารหม้อไฟแล้วสั่งเนื้อสัตว์ ผัก และอาหารทะเลมา เมื่อเหยินปาเชียนช่วยเตรียมน้ำจิ้มให้จักรพรรดินีแล้ว สองคนจึงนั่งลง
การนั่งรอบหม้อไฟในสภาพอากาศแบบนี้ จัดว่าเป็นความเพลิดเพลินที่แท้จริง
เหยินปาเชียนเทอาหารลงไปในหม้อไฟ เมื่อเนื้อสุกแล้ว เหยินปาเชียนก็สอนวิธีการกินหม้อไฟให้จักรพรรดินี ในไม่ช้า เขาก็ต้องตกตะลึงในความอยากอาหารของจักรพรรดินี
จากสิ่งที่เขาจำได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในต้าเย่าในช่วงที่ผ่านมา หรืออยู่บนดาวโลกเมื่อวานนี้ จักรพรรดินีก็ไม่ได้กินมากเลย
ในตอนนี้ มีกองจานอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองคน จักรพรรดินีกินเนื้อเข้าไปอย่างน้อย 10 จานด้วยกัน
“โดยปกติแล้ว ชั้นจะกินอาหารสมุนไพรเพื่อเติมเลือดและลมปราณให้เต็ม ถ้าชั้นกินอาหารธรรมดาทั่วไปล่ะก็ ชั้นจะต้องกินให้เยอะเข้าไว้ ชนเผ่าทุกคนเป็นแบบนี้แหละ” จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้นแล้วบอกเหยินปาเชียน
เหยินปาเชียนพยักหน้า เขาตกตะลึงในความอยากอาหารของผู้คนในสวนสัตว์ ด้วยความแข็งแกร่งของจักรพรรดินี มันสมควรแล้วที่ความอยากอาหารของนางจะน่าเกรงขามยิ่งกว่าคนเหล่านั้น
ตอนที่เหยินปาเชียนเห็นซอสเปื้อนที่มุมปากของจักรพรรดินี เขาก็หยิบทิชชูหนึ่งแผ่นมาเช็ดออกให้นาง
ร่างกายของจักรพรรดินีสั่นระริก แต่นางไม่ได้หลบมือของเหยินปาเชียน ขนตาของนางสั่นเล็กน้อย
ตอนที่ทุกคนในภัตตาคารเห็นสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังทำอยู่ พวกเขาก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้เลย
การกระทำของเหยินปาเชียนและหน้าตาที่ดึงดูดใจของจักรพรรดินี ได้ทำให้บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยความรัก มันมากจนลูกค้าทุกคนรู้สึกอิ่มก่อนที่จะเริ่มกินซะอีก
“ชั้นอยากได้สิ่งนี้” จักรพรรดินีบอกเหยินปาเชียนหลังจากที่กินเสร็จ
“ได้สิ” เหยินปาเชียนตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มให้