ตอนที่ 130: เจตนาฆ่า
315 Viewsในตอนบ่าย แสงอาทิตย์สาดส่องเข้าหาชายที่ยืนอยู่กลางสวน ทำให้เขาเลือนลางด้วยความเปล่งปลั่ง เขาได้พูดออกมา “หากความงามมีสีสัน มันก็จะมีสีแดงอย่างที่ข้าน้อยได้เห็นในตอนนี้ขอรับ”
ด้วยเหตุนี้ ฉีจี่เซียวจึงรู้สึกปั่นปวนอย่างบอกไม่ถูก และหัวใจของนางก็เต้นเป็นจังหวะอย่างหนัก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความปรารถนาที่จะฆ่าก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในใจของนาง แต่นางก็ระงับมันได้ในไม่กี่วินาที
“เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นกับข้าน่ะ ทำไมข้าถึงมีความรู้สึกเช่นนั้นได้ ?” ฉีจี่เซียวหลับตาลง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเมื่อครู่นี้ นางประสบกับอะไรบางอย่างที่นางไม่เคยประสบมาก่อน มันทำให้นางตื่นตกใจเล็กน้อยแถมยังสับสนเล็กน้อยด้วย มันนำไปสู่ความคิดที่เกิดขึ้นในหัวของนาง ถ้าหากนางได้ฆ่าคน ๆ นี้ไป นางก็คงจะไม่ได้รู้สึกถึงความปั่นป่วนก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม นางระงับความคิดนี้ทันที เนื่องจากการที่จะฆ่าเขานั้นไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของนาง มันเป็นเพียงปฏิกิริยาของจิตใต้สำนึกของนางในขณะนั้นเท่านั้นเอง
ในขณะที่คิดว่าจะระงับ การเต้นของหัวใจนางก็ถูกควบคุมด้วยเช่นกัน หัวใจของนางสงบลงแล้วในตอนที่นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง
มีเพียงความคลุมเครือและความรู้สึกแปลกประหลาดในใจนาง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปและแพร่กระจายอย่างเงียบ ๆ
“[การมโนภาพหยูอี้] ที่เจ้าไปฝึกฝนมาเป็นอย่างไรบ้าง ?” จักรพรรดินีถามออกมา ในความเป็นจริง นางรู้อยู่แก่ใจว่าเหยินปาเชียนนั้นไม่ได้คืบหน้าอย่างแน่นอน แต่นางไม่รู้จะพูดอะไรในตอนนั้น
“ข้าน้อยกำลังจะทูลรายงานฝ่าบาทขอรับ ข้าน้อยมีวิธีการ แต่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือไม่ ในช่วงเวลาที่พยายามใช้วิธีนี้ฝึกฝน [การมโนภาพหยูอี้] สมาธิทั้งหมดของข้าจะต้องจดจ่อด้วย มันจะยากสำหรับข้าที่จะตอบสนองต่อสิ่งอื่นใดที่อยู่รอบนอกขอรับ ข้าน้อยเกรงว่าจะไม่สามารถมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทในช่วงเวลานี้ได้ขอรับ” เหยินปาเชียนตอบกลับ นั่นคือเหตุผลที่เขามา ถ้าหากเขาจะใช้วิธีการที่พระรูปนั้นบอกมาเพื่อฝึกฝน [การมโนภาพหยูอี้] เขาก็เกรงว่าการที่เขาจดจ่อสมาธิทั้งหมดในช่วงเวลานี้ มันคงยากที่เขาจะสังเกตโลกภายนอก
ถ้าหากว่าความสนใจของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยล่ะก็ บางทีความพยายามของเขาทั้งหมดก่อนหน้านี้จะสูญเปล่าก็เป็นได้
แง่มุมนี้แน่นอนว่าอยู่เหนือการควบคุมของจักรพรรดินี ในกรณีที่มีปัญหา การแจ้งให้จักรพรรดินีทราบล่วงหน้าก็จะดีกว่า
“ตกลง ข้าจะจัดการให้คนส่งอาหารไปให้เจ้าสามมื้อต่อวัน” จักรพรรดินีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เหยินปาเชียนค้นพบวิธีการอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็พยายามอย่างถึงที่สุด
“เป็นพระกรุณายิ่งสำหรับความห่วงใยขอรับ”
เหยินปาเชียนนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะกลมที่ไม่ใหญ่มาก เขาสามารถได้กลิ่นที่ขับออกมาจากจักรพรรดินี มันคล้ายกับกลิ่นหอมของดอกไม้ กลิ่นนั้นหอมมาก
เนื่องจากไม่มีใครพูด พวกเขาทั้งสองจึงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
เหยินปาเชียนกล่าวอำลาแล้วกลับไปฝึกฝนหลังรับประทานอาหาร เนื่องจากเขาเห็นว่าจักรพรรดินีไม่มีอะไรจะพูดอีก
จักรพรรดินีมองดูภาพด้านหลังของเหยินปาเชียนหายเข้าไปในหัวโค้ง หลังจากกวนใจอยู่พักหนึ่ง นางก็ย้ายสายตากลับมาแล้วพูดกับชายสองคนที่อยู่ข้างหลังนาง “กลับไปที่พระราชวัง”
จักรพรรดินีกลับมาที่พระราชวัง นางนั่งบนโซฟาพร้อมกับแก้วไวน์ในมือข้างหนึ่ง นางค่อนข้างกวนใจเล็กน้อย
จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้นเมื่อครู่นี้ โดยปกติแล้ว ด้วยศักยภาพของนาง มันเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะประสบกับอะไรบางอย่างคล้ายกับความตื่นเต้นชั่ววูบในใจ ?
เมื่อไตร่ตรองมาครึ่งวันโดยไม่มีข้อสรุปเลย จักรพรรดินีก็นึกถึง [การมโนภาพหยูอี้] ที่เหยินปาเชียนกำลังฝึกฝนอยู่ ในขณะนั้น นางจึงอ่านคัมภีร์ศิลปะการต่อสู้เล่มนั้นผ่าน ๆ ด้วยแล้วก็พบว่ามันผิดแปลกเล็กน้อย แต่ทว่า นางรู้สึกว่ามีทางออกอื่นอยู่ในนั้น และนั่นคือเหตุผลที่นางไม่ห้ามเหยินปาเชียน
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเขาต้องการเรียนรู้มันล่ะก็ นางเกรงว่าจะอยู่ในขั้นยากลำบากเนี่ยสิ
จักรพรรดินีไม่มั่นใจอย่างมากในความสามารถของเหยินปาเชียนที่จะเรียนรู้มัน
ดูเหมือนว่านางยังต้องเตรียมยาวิญญาณหยวนไว้
ก่อนอื่นคือการตามหาหลู่ชี (หลู่ผิงไห่)
“พากู่ต้าสงมาที่นี่ซิ” จักรพรรดินีสั่งการ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา กู่ต้าสงรีบเข้าไปในห้องโถงพระราชวัง “กราบถวายบังคมฝ่าบาท !”
“เจ้าชายที่เจ็ดแห่งมหาจักรวรรดิเซี่ยกลับไปแล้วเหรอ ?” จักรพรรดินีถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฝ่าบาท เค้าได้กลับไปพร้อมกับคนของเค้าแล้วเมื่อวานนี้ขอรับ” กู่ต้าสงตอบทันที
“อ้อ” จักรพรรดินีพยักหน้าอย่างนุ่มนวล เมื่อคิดถึงเจ้าชายที่เจ็ดแห่งมหาจักรวรรดิเซี่ย นางก็อยากจะฆ่าเขาขึ้นมาทันที ความคิดที่ว่ามีอีกคนที่มีหน้าตาแบบนั้นทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางไม่เคยคิดว่าเขาจะกลับไปหลังจากที่นางบอกให้คนส่งเลือดกิเลนให้เขาเมื่อวันก่อน
แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เขากลับไปด้วย จะมีปัญหาถ้าหากเขาเสียชีวิตลงในเมืองหลาน อย่างน้อยจากภายนอก ก็ดูเหมือนว่าเขามามอบของขวัญให้นาง
“คนที่เหลือล่ะ ?” จักรพรรดินีถามโดยผิวเผินอีกครั้ง
“ส่วนใหญ่ได้กลับไปแล้ว มีแขกเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนขอรับ นอกจากนี้ หนิงไฉ่เฉินก็ยังขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยขอรับ” กู่ต้าสงตอบกลับ
“บอกให้เค้ามาหาข้าพรุ่งนี้ เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ” จักรพรรดินีพูดพร้อมกับโบกมือ
หลังจากที่กู่ต้าสงกลับไป จักรพรรดินีก็จมอยู่กับความคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่นางจะตะโกนออกมา “เรียกตัวหงเป่ามา”
หงเป่าเป็นชายร่างกำยำมีหนวดเครายาวตัวสูง 2 เมตร เขามีโคนเคราเป็นเส้น คล้ายกับที่ดินเพาะปลูก
“หงเป่าผู้จงรักภักดีถวายความเคารพต่อองค์ฝ่าบาท” เสียงของหงเป่าดังก้องกังวานมาก เทียบได้กับเสียงของฉีว่านซานและบุตรชายของเขา
“เลือกคนมาซักสองสามคน แล้วตามกองทหารของเจ้าชายที่เจ็ดแห่งมหาจักรวรรดิเซี่ยไป รอให้พวกนั้นกลับไปที่ชายแดนของมหาจักรวรรดิเซี่ยแล้วฆ่ามันซะ ข้าต้องการเห็นหัวมัน แล้วจงอย่าไว้ชีวิตคนที่ได้พบเห็นคนของเจ้าแม้แต่คนเดียวล่ะ”
“ตามพระราชบัญชาขอรับ” หงเป่าตอบด้วยเสียงอันดัง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าชายผู้นั้นทำให้จักรพรรดินีขุ่นเคืองได้อย่างไร เนื่องจากนางร้องขอมา เขาจะต้องนำศีรษะกลับมาให้ได้ แม้จะเป็นจักรพรรดิของมหาจักรวรรดิเซี่ยก็ตาม
“เจ้ากลับไปเตรียมพร้อมได้แล้วล่ะ ล้อหมุนทันที จงจำไว้ว่าข้าต้องการเห็นหัวของมัน” จักรพรรดินีพูดออกมาพร้อมขยับมือ
หลังจากที่หงเป่าถูกส่งออกไป จักรพรรดินีก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ในทุกความเป็นไปได้ อารมณ์ของนางจะดีขึ้นก็ต่อเมื่อได้เห็นหัวของเขา
ส่วนการตายของเจ้าชายที่เจ็ดแห่งมหาจักรวรรดิเซี่ยจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกหรือไม่นั้น นางไม่ต้องเป็นกังวล
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มหาจักรวรรดิเซี่ยก็อยู่ระหว่างการเตรียมการอยู่แล้ว
จักรพรรดินีลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหน้ากระจก เมื่อมองไปที่ภาพสะท้อนของตัวนางเอง นางก็ใช้นิ้วมือลูบบนภาพใบหน้าของนางในกระจกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถอยกลับมา
เจ้าชายที่เจ็ดคงไม่เคยคิดว่าฉีจี่เซียวจะมีเจตนาฆ่าตนเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ไร้สาระแบบนี้
ในขณะนี้ เขากำลังนั่งอยู่ในรถม้าของเขา เพลิดเพลินไปกับขวดเล็ก ๆ ในมือ ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ เขาได้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนในครั้งนี้แล้ว ด้วยขวดเลือดนั้นขวด เขาได้ประหยัดเวลาพยายามอย่างน้อย 10 ปี อันที่จริงเขาอาจจะสามารถแข่งขันกับพี่ชายตนในลานกว้างในครั้งนี้ได้
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉีจี่เซียวอยากได้เจ้าหนุ่มที่หน้าตาเหมือนตนมาเป็นพระสวามีของนาง มันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
โลกใบนี้ช่างน่าหลงใหลซะจริง
น่าแปลกใจที่มีคนหน้าตาเหมือนเรา
ถ้าหากว่าเค้าใส่ชุดเหมือนกันและไม่พูดออกมา บางทีแม้แต่เสด็จพ่อของเรากับพวกพี่น้องก็ไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ด้วยซ้ำ
“ซิ่วอู่ ถ้าข้ายืนเคียงข้างเจ้าหนุ่มนั่นแล้วใส่ชุดเหมือนกัน เจ้าจะแยกพวกเราทั้งคู่ออกมั้ย ?” เจ้าชายที่เจ็ดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นในทันที
“ใต้เท้า นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านจะเป็นเสือก็ต่อเมื่อท่านถูกปกคลุมด้วยหนังเสือนะเจ้าคะ” ซิ่วอู่หัวเราะเบา ๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนโยนที่ไหลเวียนอยู่ในลูกตาของนาง
เจ้าชายที่เจ็ดหัวเราะลั่นออกมาแล้วโอบกอดซิ่วอู่ไว้ในอ้อมแขนตน
ตอนแรกเขาต้องการหาโอกาสที่จะฆ่าเหยินปาเชียน แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้นได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาทำได้แค่หาโอกาสในครั้งต่อไป
ข้าจะจัดนักรบพลีชีพซักสองสามคนมาซ่อนตัวในเมืองหลานเมื่อพวกเรากลับมา
ไม่ช้าก็เร็ว ชายผู้นั้นก็จะออกมาจากพระราชวัง
ตัวข้าน่ะมีคนเดียวในโลกนี้ก็พอแล้ว
ข้าก็แค่ไม่รู้สึกโล่งใจตราบใดที่ชายผู้นั้นยังไม่ตาย
ในความเป็นจริง ข้าก็เป็นถึงเจ้าชายที่เจ็ดของมหาจักรวรรดิเซี่ยนี่นะ
ข้าจะไปยอมให้คนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนข้ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และไม่มีสถานภาพในการควบคุมของข้าได้ยังไงกัน ?