ตอนที่ 100: เหตุบังเอิญอันเกินกว่าเหตุ
326 Viewsในตอนที่เหยินปาเชียนกำลังลังเลว่าเขาควรจะกระโดดลงจากต้นไม้แล้ววิ่งไปทางอื่นหรือว่าจะรอวัดดวงดี หนิงไฉ่เฉินก็ได้เห็นซากของตัวปาบนพื้นโล่ง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปทั่วทุกที่ หลังจากนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับโบกมือให้เหยินปาเชียนอย่างแข็งขัน
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งของเหยินปาเชียนนั้นเป็นจุดที่พบเห็นได้ง่าย
“จะโบกมือทำบ้าอะไรเห้ย” เหยินปาเชียนสบถในใจ เขาหันไปด้านข้างแล้วชี้นิ้วไปทางนั้น ในขณะเดียวกัน เขาก็เล็งหน้าไม้ไปที่หนิงไฉ่เฉิน
เจตนาของเขานั้นชัดเจน ท่านวิ่งไปทางนั้นเลยนะ อย่าเอาข้าไปเกี่ยวด้วย
หนิงไฉ่เฉินเองก็รู้วิธีการเดินเกมด้วยเหมือนกัน เมื่อได้เห็นท่าทางมือของเหยินปาเชียนแล้ว เขาก็ตะโกนออกมา “เฮ้ ! ช่วยข้าด้วย !” ตลอดทาง เขาได้เลี้ยวผ่านที่ที่ใกล้กับด้านข้างต้นไม้ที่เหยินปาเชียนกำลังหลบซ่อนอยู่
หมูป่าที่คล้ายรถถังได้วิ่งไปทางนั้นแล้วผ่านต้นไม้ของเขาอย่างฉิวเฉียด
“เห้อออ” เหยินปาเชียนถอนหายใจออกมายาว ๆ โชคดีที่หนิงไฉ่เฉินไม่ได้ดึงเขาลงมา มิฉะนั้นแล้ว เขาก็จะต้องยกหน้าไม้แล้วยิงไปที่เขา
หมูป่าตัวใหญ่คงจะประกาศว่าตัวเองเป็นเจ้าป่าอย่างแน่นอน
“หนิงไฉ่เฉิน ท่านนับว่าเป็นคนที่จงรักภักดีในครั้งนี้ ข้าจะเผาเครื่องหอมให้ท่าน จงไปดีเถิด” เหยินปาเชียนแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
หลังจากที่รอให้หนิงไฉ่เฉินและหมูป่าวิ่งลับสายตาไป เหยินปาเชียนก็ยังคงนั่งอยู่บนต้นไม้ ต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นที่เหมาะสมที่สุดในบริเวณใกล้เคียง
เพราะว่าหมูป่าถูกล่อไปแล้ว เขาจึงไม่ต้องย้ายที่อีก
หลังจากนั้นสักพัก ร่างเงาก็เริ่มปรากฏขึ้นในบริเวณโดยรอบ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับหมาจิ้งจอก พวกมันจ้องมองที่ซากของตัวปาแต่ไม่ได้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน พวกมันวนเวียนอยู่รอบซากอย่างต่อเนื่อง ราวกับพวกมันกำลังพยายามตรวจสอบว่ามีอันตรายหรือไม่
“นี่ไม่ได้เตรียมไว้ให้พวกแกนะ” เหยินปาเชียนพูดเบา ๆ แล้วยิงลูกธนูไปที่หมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มันขยับตัวเล็กน้อยและหมาจิ้งจอกตัวนั้นก็ตกใจในทันที ขนทั้งตัวของพวกมันลุกขึ้นพร้อมกัน หลังจากที่เดินวนรอบแล้วมองไปทุกที่ มันก็เปลี่ยนทิศทางและเดินเข้าไปในป่า
หมาจิ้งจอกตัวอื่นเดินต่อไปรอบ ๆ พวกมันลังเลที่จะออกไป และยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาซาก
เหยินปาเชียนยิงลูกธนูอีกครั้งไปโดนหมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง หมาจิ้งจอกตัวที่เหลือก็หันไปรอบ ๆ ในทันที พวกมันวิ่งเข้าไปในป่าแล้วก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากเสร็จงานนี้ เหยินปาเชียนก็ยังคงรอคอยต่อไป เนื่องจากตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำ เขาจึงตรวจดูถุงที่เอวอีกครั้งแล้วพบขวดพลาสติกอยู่ข้างใน แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาได้นำยาสลบมาด้วย เนื่องจากเขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าตื่นกลัวมาโดยตลอด เขาจึงลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอนที่จะทำให้หมูป่าสงบลงด้วยยาสลบ
แต่ทว่า เขายังคงจุ่มหัวธนูลงในขวดแล้วเอาออกมาหลังจากผ่านไปเพียง 10 วินาที
เหยินปาเชียนรอไปได้อีกสักพัก ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาจึงหันหน้าไปยังทิศทางของเสียงแล้วก็ทำให้เขาประหลาดใจ เสียงนั้นถูกสร้างขึ้นโดยพ่อหนุ่มคนนั้น หนิงไฉ่เฉินนั่นเอง ส่วนหมูป่าที่วิ่งตามหลังเขานั้นไม่รู้หายไปไหนแล้ว
หนิงไฉ่เฉินปีนต้นไม้ได้อย่างง่ายดายและลีลาของเขานั้นเป๊ะมาก ดูเหมือนว่าเขามักจะปีนต้นไม้เพื่อไปเอาไข่นกจากรังอยู่บ่อยครั้ง หนิงไฉ่เฉินที่ดูโสโครกได้ปีนขึ้นต้นไม้มานั่งข้างเหยินปาเชียน เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดออกมา “เมื่อกี้นี้ข้ากลัวเทียบตายเลยล่ะ ข้าน่ะเกือบจะโดนหมูป่าไล่ทันอยู่แล้วเชียว แต่โชคดีที่ข้าวิ่งเร็วกว่าล่ะนะ”
“นี่ท่านหนีรอดจากหมูป่าได้จริงเหรอเนี่ย ? แล้วท่านไปปลุกปั่นมันยังไงล่ะนั่น ?” เหยินปาเชียนถามออกมา ตราบใดที่หนิงไฉ่เฉินได้จัดการหมูป่าล่ะก็ เขาก็ไม่คิดจะมีพรรคพวกหรอก อันที่จริง มันค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับใครสักคนที่อยู่บนต้นไม้
เมื่อได้ฟังคำถามของเหยินปาเชียนแล้ว หนิงไฉ่เฉินก็เผยให้เห็นสีหน้าที่ดูสับสน “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักหรอก ข้ากำลังเดินอยู่ในป่าอยู่ดี ๆ เจ้าตัวนั้นก็พุ่งเข้ามาหาข้าทันที ราวกับว่ามันต้องการแก้แค้น แต่ต้องขอบคุณในความดีความชอบที่ข้าจัดการมันได้ล่ะนะ”
“ท่านทำคนเดียวเลยหรอ ?” เหยินปาเชียนถามเขาอีกครั้ง
“ความรู้มาจากหนังสือและประสบการณ์ของโลก ข้าได้ยินมาว่าสัตว์ป่าในป่าต้าเย่าแตกต่างกับสัตว์ป่าในมหาจักรวรรดิเซี่ย เพราะงั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อมาดูโดยไม่ต้องคิดถึงรางวัลใดเลย” หนิงไฉ่เฉินเผยรอยยิ้มเหนียมอาย
หนิงไฉ่เฉินเป็นคนที่กระตือรือร้นในการเดินทาง จากข้อนี้ อาจจะมองได้ว่าเขาเป็นคนที่ค่อนข้างกล้าหาญทีเดียว
“ถ้างั้นก็อยู่ที่นี่สักพักละกัน มันปลอดภัยกว่าอยู่บนพื้นแน่ ๆ” เหยินปาเชียนพูดออกมา
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เงี่ยหูฟัง “ท่านได้ยินเสียงอะไรมั้ย ?”
หนิงไฉ่เฉินฟังอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ตาค้าง
“ปัง !” ทั้งสองคนได้ยินเสียงต้นไม้ที่ถูกโค่นมาจากระยะไกล หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เห็นเงาขนาดยักษ์ หลังจากที่มันสูดดมบนพื้น มันก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางเหยินปาเชียนและหนิงไฉ่เฉินด้วยสายตาจ้องเขม็ง จากนั้นมันก็พุ่งมาทางพวกเขาในทันที
“ไอ้นรกเอ๊ย” เหยินปาเชียนสบถ เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะด่าหนิงไฉ่เฉินหรือหมูป่าดี เขากระโดดลงทันที เขากลิ้งตลบแล้ววิ่งหนีสุดแรงเกิด
“มันกำลังไล่ตามท่านมา อยู่ให้ห่างข้าเลยนะ” เหยินปาเชียนไม่ลืมที่จะตะโกนออกมา เขาหาทางวิ่งเข้าไปในป่าทันที
ปอดของเขาร้อนขึ้น และค่อย ๆ กลับคืนสภาพเดิมในขณะที่เขาเดินไป
เหยินปาเชียนไม่ได้อยากรู้ว่าทำไมหมูป่าถึงมีเป้าหมายที่หนิงไฉ่เฉิน เขาเพียงแค่ต้องการหาต้นไม้ต้นที่เหมาะสมและปีนขึ้นไปพักผ่อนเท่านั้น
ไม่ว่ายังไงก็เถอะ มันปลอดภัยกว่าอยู่บนพื้นแน่ ๆ
เหยินปาเชียนรู้สึกว่าตนยิ่งเฉื่อยชาขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นเอง เขากำลังวิ่งขึ้นเนินแล้วเขาก็เหนื่อย ความวิกฤตถูกยกเลิกชั่วคราว หมูป่าตัวนั้นไล่ตามหนิงไฉ่เฉินไปอย่างไร้จุดหมาย เพราะฉะนั้น เหยินปาเชียนจึงหยุดวิ่งแล้วเอนตัวลงพักผ่อนบนต้นไม้
“อ้าว นี่มันผู้รักษาการเหยินนี่ ?”
รอยเท้าของเหยินปาเชียนหยุดชะงักลง ในตอนที่เขาเพิ่งจะเอนตัวลงบนต้นไม้ เขาก็ได้เห็นคนสองคนโผล่ออกมาจากด้านหลังต้นไม้ข้างหน้า
เหยินปาเชียนรู้สึกคุ้นเคยเสียงนี้ เขาเงยหน้าขึ้นดู เขาก็รู้จักคน ๆ นี้จริง ๆ เขาก็คือเหลียนเบ่าเฉิง คนบ้ารุ่นที่สองที่สวมเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าไหม คนข้างหน้าเขาคือพลทหารในตอนนั้น ที่ขัดขวางลูกศรเลือดของนายว่างเปล่าที่พุ่งไปหาเหลียนเบ่าเฉิง
“จะบังเอิญอะไรขนาดนี้วะเนี่ย” เหยินปาเชียนไม่ได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดี เขาเริ่มกังวลขึ้นมาแล้ว
มันเป็นเรื่องบังเอิญมากที่เขาพบกับคนสองกลุ่มในป่าที่ใหญ่โตขนาดนี้ เขาสงสัยว่าเขาดวงไม่ดีเอาซะเลย
เหยินปาเชียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนิงไฉ่เฉิน แต่การที่ได้มาเจอกับเหลียนเบ่าเฉิงหลังจากเจอกับหนิงไฉ่เฉินอย่างต่อเนื่อง มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อีกต่อไป
นี่เขาได้พบกับคนทั้งสองกลุ่มในป่าที่ใหญ่ขนาดนี้จริง ๆ เหรอ ?
ก่อนหน้านี้ เขายินดีที่จะซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้เพียงลำพัง ในที่สุด หลังจากที่เจอกับหนิงไฉ่เฉินผู้โชคร้าย เขาก็ได้พบกับเหลียนเบ่าเฉิงในบริเวณใกล้เคียง เหยินปาเชียนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญทั่วไป
ไม่ว่าจะบังเอิญหรือไม่ก็ตาม ความคิดนี้อาจถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจในตอนนี้ เหยินปาเชียนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถต่อกรกับพลทหารที่อยู่ตรงหน้าได้
ในตอนนั้นเอง ความเร็วของลูกศรเลือดที่พุ่งออกมาจากปากของนายว่างเปล่านั้น ไม่ถือว่าช้ากว่าลูกธนูจากหน้าไม้ แต่พลทหารก็สามารถขัดขวางลูกศรเลือดที่พุ่งไปหาเหลียนเบ่าเฉิงในตอนท้ายได้
เขาอาจมองเห็นความสามารถของพลทหารได้จากตรงนี้
“ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ การได้เจอกับผู้รักษาการเหยินในพื้นที่รกร้างนอกเมือง ทำให้ข้ารู้สึกยินดีมากเลยล่ะ” เหลียนเบ่าเฉิงมีเจตนามุ่งร้าย
โดยปกติแล้ว เหยินปาเชียนนั้นรู้ดีว่าตนได้ทำให้เขาไม่พอใจจริง ๆ เจตนาชั่วร้ายได้ลุกลามไปในจิตใจทันทีที่ได้ยินคำพูดของเหลียนเบ่าเฉิง
ในขณะที่เขากำลังหายใจลึก ๆ เพื่อฟื้นฟูพลังกาย เขาก็เล็งหน้าไม้ไปที่อีกฝ่ายพร้อมกัน “เจ้าคิดถึงข้ามากมั้ยล่ะ ? เจ้าคิดถึงอะไรเกี่ยวกับข้าล่ะ ? บอกข้ามาข้าจะฟัง”
สายตาของเหลียนเบ่าเฉิงกรอกไปทุกทิศทาง เขามองไปที่บริเวณโดยรอบอย่างรอบคอบแล้วยิ้มให้เหยินปาเชียน “แหงอยู่แล้ว ข้าจะทำให้เจ้าตาย”
“พระองค์อยู่ที่ด้านล่างภูเขานะ เจ้ากล้าแตะต้องข้างั้นเหรอ ?” เหยินปาเชียนถามออกมาอย่างเยือกเย็น
“สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในป่าไม่สามารถคาดเดาได้หรอก มันไม่แปลกเลยถ้าเจ้าตายอยู่ที่นี่ ตราบใดที่พวกเราสุ่มขุดหลุม ศพของเจ้าก็จะไม่เจอ ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าตายได้ยังไง ?” เหลียนเบ่าเฉิงบิดเบี้ยวด้วยความบ้าคลั่ง “ข้าไม่เคยถูกใครทำให้เสียหน้าเลยในชีวิต ข้าคงจะไม่มีโอกาสดี ๆ ถ้าหากเจ้ายังอยู่ที่เมืองหลาน”
“เพราะเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจึงด่าใครไม่ได้ เจ้าทำได้แค่ด่าตัวเองที่ไม่รู้จักชีวิตและความตาย”
เมื่อเหลียนเบ่าเฉิงพูดจบ พลทหารที่ถือมีดอยู่ในมือก็มุ่งหน้ามายังเหยินปาเชียนทีละก้าว