ตอนที่ 32 ตอนนั้นเอง ซูเจี๋ยนจึงเพิ่งค้นพบว่า น้ำแกงที่เดิมทีป๋ายหนิงเสวี่ยถืออยู่ในมือนั้นได้สาดรดลงบนร่างตัวเองกว่าครึ่งถ้วย! (1/2)
48 Viewsตอนที่ 32 ตอนนั้นเอง ซูเจี๋ยนจึงเพิ่งค้นพบว่า น้ำแกงที่เดิมทีป๋ายหนิงเสวี่ยถืออยู่ในมือนั้นได้สาดรดลงบนร่างตัวเองกว่าครึ่งถ้วย! (1/2)
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ซูเจี๋ยนก็ได้พบกับเทพธิดาที่เขาอยากเห็นเข้าจริงๆ
ไม่อาจทราบได้ว่านี่เป็นแผนการที่คุณแม่อันจัดเตรียมไว้แต่แรก หรือเป็นการมาเยือนอย่างกะทันหันโดยไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ดี เพียงครู่เดียวเทพธิดาเสวี่ยเอ๋อร์ผู้นี้ก็ล่องลอยมาอยู่ตรงหน้าซูเจี๋ยนแล้ว
“เสวี่ยเอ๋อร์นี่ยิ่งโตก็ยิ่งสวย!” การปฏิบัติตัวของคุณแม่อันต่อเทพธิดาผู้นี้แตกต่างจากที่ทำกับซูเจี๋ยนโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ซูเจี๋ยนไม่ได้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะในใจของเขาตอนนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ว่า : ให้ตายเถอะแม่เอ๊ย มือเล็กๆ นั่น ทั้งขาวทั้งละเอียดอ่อน ฉันก็อยากจับเหมือนกันนะ!
เทพธิดาผู้นี้ช่างสมแล้วกับที่มีนามว่าเสวี่ยเอ๋อร์ (หิมะ) ผิวขาวเนียนกระจ่างใส ทั้งโปร่งบางทั้งละเอียดประณีต ช่างรับกันกับทรงผมยาวตรงถึงหว่างเอว ทั้งยังสวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์พอดีตัวที่ตัดเย็บมาอย่างดี ยืนอยู่ที่ใดก็เหมือนล่องลอยลงมาจากสวรรค์ มีเพียงสี่พยางค์ที่อธิบายความงามเช่นนี้ได้ : สวย – จน – ตะ – ลึง!
ซูเจี๋ยนจ้องมองตาไม่กะพริบ เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปก่อน : “สะ…สวัสดี!”
เทพธิดายื่นมือมาจับ เขย่าตอบเบาๆ : “สวัสดีค่ะ คุณซู ฉันชื่อป๋ายหนิงเสวี่ย”
ซูเจี๋ยนเหม่อมองรอยยิ้มหวานหยดงดงามราวกับดอกบัวขาวใสแสนบริสุทธิ์ของอีกฝ่าย ในใจก็ได้แต่คิด : หนิงเสวี่ย ชื่อนี้ฟังแล้วไพเราะเสนาะหูดีจริงๆ ช่างเข้ากับบุคลิกของเทพธิดาเป็นที่สุด!
ระหว่างที่คิด เขาก็รวบจับมือของเทพธิดาไว้อย่างแนบแน่น ลูบคลำอยู่อย่างนั้น จับแล้วก็จับอีก กุมแล้วก็กุมอีก จนกระทั่งรอยยิ้มของอีกฝ่ายแทบไม่อาจคงไว้ได้แล้ว ซูเจี๋ยนจึงค่อยยอมปล่อยมือออกอย่างอาลัยอาวรณ์ ภายในยังครุ่นคิดอย่างตื่นเต้นดีใจ : ฉันได้จับแล้ว! ฉันได้จับมันแล้ว! แม่จ๋า มือเล็กๆ นี่ช่างนุ่มละมุนดีจริงๆ เลย!
ฝั่งคุณแม่อันก็ดึงป๋ายหนิงเสวี่ยไปนั่งข้างกันบนโซฟาอย่างสนิทสนม จงใจปล่อยซูเจี๋ยนทิ้งไว้ด้านข้างอย่างเย็นชา พลางพูดขึ้นกับป๋ายหนิงเสวี่ยด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดู : “เสวี่ยเอ๋อร์ ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ เราได้รับผิดชอบเรื่องวางแผนจัดงานการกุศลงานหนึ่งขึ้นมาหรือ”
“เป็นทางบ้านน่ะค่ะที่จัดเตรียมขึ้นมา ลำพังแค่เสวี่ยเอ๋อร์คงไม่กล้าพูดว่าได้รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ ก็ได้แต่ช่วยเหลือไปตามกำลังเท่านั้น” ป๋ายหนิงเสวี่ยกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน
“เสวี่ยเอ๋อร์นี่ก็ หยุดถ่อมตัวบ้างเถอะเรา! ป้าเองย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ว่าเธอน่ะจัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยขนาดไหน!” กล่าวจบคุณแม่อันก็เริ่มพูดคุยกับป๋ายหนิงเสวี่ยเกี่ยวกับรายละเอียดการจัดงานการกุศลนั้นต่อไปอีกยาวเหยียด
บทสนทนานี้แน่นอนว่าไม่เปิดโอกาสให้ซูเจี๋ยนพูดแทรกเข้าไปได้แม้แต่ประโยคเดียว คุณแม่อันจงใจพูดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้หญิงสาวรู้สึกอับอายขายหน้าในความต่ำต้อยด้อยค่าของตัวเองให้มากที่สุด ตลอดเวลาที่พูดคุย คุณแม่อันก็ไม่ได้แยแสสนใจสีหน้าซูเจี๋ยนแม้แต่น้อย ทำเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น ทว่าหางตากลับแอบชำเลืองมองซูเจี๋ยนอย่างลับๆ หวังจะได้เห็นสีหน้าอัดอั้นตันใจจนวางตัวไม่ถูกของอีกฝ่าย
ไม่คิดเลยว่า บนใบหน้างามของซูเจี๋ยนกลับไม่มีวี่แววความอัดอั้นตันใจแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม ฝ่ายนั้นกลับจ้องมองป๋ายหนิงเสวี่ยด้วยแววตาวิบวับเป็นประกาย
เทพธิดาคนนี้ไม่ได้งดงามเพียงภายนอกเท่านั้น ภายในถึงกับยังงดงามยิ่งกว่า!
เจ้าทึ่มขี้แพ้ผู้นี้ยอมศิโรราบต่อสาวงามได้อย่างง่ายดาย เปิดสวิทช์โหมดเคารพบูชาเทพธิดาขึ้นมาเรียบร้อย ซูเจี๋ยนจ้องมองเทพธิดาที่อยู่ด้านข้างชนิดตาไม่กะพริบ เพ่งดูผิวขาวกระจ่างใสทุกตารางนิ้วของเทพธิดาซึ่งไม่มีรอยตำหนิแม้แต่นิดเดียว จ้องเอาๆ จนพอใจ พอสติกลับเข้าร่างจึงค่อยรู้สึกตัวว่า เทพธิดากำลังส่งรอยยิ้มอ้างว้างเศร้าสร้อยมาให้ตนเอง
ในใจซูเจี๋ยนคิดอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับเทพธิดาให้มากขึ้น จึงพยายามคิดหาหัวข้อมาเริ่มต้นบทสนทนา แล้วก็เปิดปากกล่าว : “ไม่ทราบว่า ตามธรรมดาแล้ว คุณป๋ายชอบทำอะไรบ้าง”
ป๋ายหนิงเสวี่ยคีบช่อผมกลุ่มหนึ่งปัดป่ายไปด้านหลังอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : “ตามธรรมดาแล้ว ฉันก็ชอบจัดการหรือสนับสนุนพวกงานการกุศลเพื่อช่วยเหลือคนอื่นแบบนี้แหละค่ะ แล้วก็มีไปชมการบรรเลงดนตรีสดหรือการแสดงละครเวที บางครั้งก็ไปเดินดูพวกนิทรรศการศิลปะ ช่วงนี้ฉันค่อนข้างชอบงานของท่านเซอร์ เปเตอร์ เปาล์ รือเบินส์ [1] เป็นพิเศษ ช่วงเวลาที่เหลือก็มักจะหมดไปกับการอ่านหนังสือ เรื่อง ‘Die Klavierspielerin’ (The Piano Teacher) ซึ่งเอ็ลฟรีเดอ เย็ลลีเน็ค [2] ได้ประพันธ์ขึ้นมานั้นเป็นหนังสือที่ฉันรักที่สุดเลย กล่าวจบแล้ว ก็แย้มยิ้มอ่อนจางพลางถามกลับ : “ไม่ทราบว่า ทางด้านคุณซูชอบทำอะไรบ้างเหรอคะ”
ซูเจี๋ยนเกาผมเล่นเบาๆ : “เล่น DOTA นี่ก็พอจะนับได้อยู่ล่ะมั้ง”
รอยยิ้มของป๋ายหนิงเสวี่ยจืดจางไปเล็กน้อย : “เป็นกิจกรรมแบบไหนเหรอคะ”
ซูเจี๋ยนกระตือรือร้นขึ้นมาทันที : “เกม DOTA เป็นเกมที่สนุกมากๆ เลยล่ะ ถ้าคุณป๋ายสนใจ ฉันสามารถสอนคุณเล่นได้นะ!”
ป๋ายหนิงเสวี่ยเม้มปากเข้าหากันเล็กน้อยจากนั้นก็ค่อยยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ขณะกล่าวคำ : “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้”
ซูเจี๋ยนเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าเทพธิดาไม่สนใจเรื่อง DOTA เรื่องที่จะพูดคุยต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขายังคิดหาหัวข้ออื่นขึ้นมาเป็นประเด็นไม่ได้ หัวข้อที่พอใช้สนทนาแล้วเทพธิดาจะรู้สึกพึงพอใจคือเรื่องอะไรกันนะ…..
ขณะที่กำลังเค้นสมองคิดหัวแทบแตก จู่ๆ เทพธิดาก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคุยขึ้นมาเอง : “คุณซูคะ พี่อี่เจ๋อเขา…..ช่วงนี้เขาสบายดีรึเปล่าคะ”
พี่อี่เจ๋อ? นั่นสินะ อันอี่เจ๋อกับเทพธิดาน่ะโตมาด้วยกันเหมือนบ๊วยเขียวม้าไม้ไผ่ตั้งแต่เด็กนี่นา อ๊ากๆๆ เจ้าหมอนั่นมันน่ารังเกียจชะมัด! ในใจของซูเจี๋ยนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาชิงชัง ปากก็กล่าวตอบ : “เขาน่ะเหรอ สบายดีมากเลยล่ะ!”
ในดวงตาของป๋ายหนิงเสวี่ยพลันเอ่อล้นไปด้วยความโศกเศร้าเหงาหงอย : “งั้น…ฉันก็วางใจได้แล้วล่ะค่ะ ตั้งแต่เด็ก ฉันโตขึ้นมาพร้อมกับพี่อี่เจ๋อ ตลอดมาเป็นเขาที่คอยปกป้องฉันอยู่เสมอ ไม่ให้ใครมารังแกฉันได้ พี่เขารักใคร่เอาใจใส่ต่อฉันอย่างที่สุดเลยจริงๆ”
ซูเจี๋ยนคิดในใจอย่างฮึกเหิม : เทพธิดา ถ้าฉันโตขึ้นมาพร้อมกับเธอ ฉันก็จะรักใคร่เอาใจใส่ต่อเธอให้ถึงที่สุดเหมือนกัน!
“พอโตขึ้นมา เห็นพวกผู้ชายทำท่าจะมาเข้าหาฉันทีไร พอพี่เขารู้ก็มักจะโมโหหัวเสียทุกครั้งเลยล่ะค่ะ….”
ซูเจี๋ยนคิดกับตัวเอง : เวรเอ๊ย! ถ้าเป็นฉันก็จะโมโหหัวเสียเหมือนกันนั่นแหละ! เทพธิดาสูงส่งเลิศล้ำระดับนี้ จะปล่อยให้คนธรรมดาทั่วไปมาคอยไต่ตอมเกาะแกะได้ที่ไหน!
“ยังมีครั้งที่พี่ชายลงไม้ลงมือต่อสู้กับเพื่อนนักเรียนพวกนั้นจนถึงขั้นได้รับบาดเจ็บด้วยนะคะ ตอนนั้น ในใจของฉันทั้งสงสารแล้วก็ทั้งตื้นตันไปหมด…..”
ซูเจี๋ยนคิดอย่างดุเดือด : ตอนที่ไอ้เจ้าขี้เก๊กอันอี่เจ๋อนั่นได้เห็นเทพธิดาหลั่งน้ำตาให้กับเขา ในใจคงจะแอบยินดีปรีดาแทบตายแล้ว! แต่ก็นั่นแหละ สกิลการตีหน้ามึนของเจ้าคนแซ่อันนั่นยังจะมีใครสู้ได้อีก แม่มเอ๊ย! ทำไมพอรู้เรื่องทั้งหมดนี่แล้วฉันถึงรู้สึกคันไม้คันมือชะมัด
“พี่อี่เจ๋อเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน ถึงแม้ว่าชีวิตนี้ ฉันจะไม่มีโอกาสได้ดูแลและอยู่เคียงข้างพี่เขาอีกแล้ว ฉันก็ยังหวังว่าเขาจะได้มีความสุขตลอดไป…..”
ซูเจี๋ยนคิดในใจ : เทพธิดา! คำพูดพวกนี้หมายความว่ายังไง นี่คุณชอบเจ้าอันอี่เจ๋อมันถึงขนาดนั้นเชียว? ไอ้เจ้าคนแซ่อัน! นายโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้! มาต่อยกันเลยมา!
————————
มีออกเป็นเล่มและอีบุ๊คนะหรือติดตามได้ที่
แฟนเพจ ‘Akanirawan’ https://bit.ly/3gBu94T
สั่งหนังสือได้ที่กล่องข้อความ