ตอนที่ 172: เตาแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก
209 Viewsทันใดนั้นเงาทั้งสองก็ปรากฏขึ้นภายในพระราชวังหย่างซินอันเงียบสงบและหนาวเย็น
เหยินปาเชียนจับกล่องกระดาษใบใหญ่กับถุงใบเล็กไว้ในมือ หลังจากที่ได้เห็นฉากโดยรอบชัดเจนแล้ว เขาก็มองลงไปที่มือของจักรพรรดินี มันว่างเปล่า
“เจ้าสิ่งที่อยู่ในมือข้าตอนนั้นหายไปในเสี้ยววินาที” จักรพรรดินีพูดออกมาพลางมองที่มือซ้ายของตัวเอง
หลังจากที่ผ่านการอาบสมุนไพรครั้งที่สอง เขาก็มีความแข็งแกร่งในแบบชายที่หนักมากกว่า 75 กิโลกรัมเล็กน้อย น้ำหนักของกล่องในมือของเขาพร้อมกับจักรพรรดินีนั้นเทียบเท่ากับความแข็งแกร่งของเขาไม่มากก็น้อย แรกเริ่มเดิมทีเขาต้องการดูว่าจักรพรรดินีสามารถนำสิ่งของกลับมาได้หรือไม่ แต่ทว่ามันก็ถูกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันไม่ได้ผลและของชิ้นนั้นก็จะหายไปโดยทันที ไม่รู้ว่าสิ่งของชิ้นนั้นถูกทิ้งไว้บนดาวโลกหรือหายไปที่ใดในระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้าย
“ฝ่าบาทเจ้าขา !” เสียงของชิงหยวนกับหงหลวนตามมาจากข้างหลัง
“ตอนนี้กี่ยามแล้ว ?” จักรพรรดินีหันไปถาม
“ตอนนี้ยามชวดแล้วเจ้าค่ะฝ่าบาท” ทั้งชิงหยวนกับหงหลวนเดินไปทางจักรพรรดินี โค้งคำนับแล้วตอบกลับมา
เมื่อได้เห็นท่าทางของทั้งสองคน ดูเหมือนว่าพวกเธอจะเฝ้าดูอยู่ที่นี่นับตั้งแต่จักรพรรดินีออกไป
ยามชวดคือช่วงเวลาระหว่าง 5 ทุ่มถึงตี 1 มันเพิ่งจะเที่ยงคืนเอง
“มีอะไรเกิดขึ้นในวังหรือเปล่า ?” จักรพรรดินีถามอีกครั้ง
“ทุกอย่างปลอดภัยดีเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าทั้งสองคนออกไปได้แล้วล่ะ” จักรพรรดินีพูดแล้วให้พวกเธอออกไป
หลังจากที่ทั้งสองคนออกไป จากนั้นนางจึงมองกล่องในมือของเหยินปาเชียนแล้วถามออกมา “สิ่งนั้นคืออะไรรึ ?”
หลังจากที่เหยินปาเชียนหาคนมารับกล่องไปส่งที่บ้านของตน ทั้งสองคนก็กลับไปที่ห้องโถงพระราชวัง ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาซักถาม
“มันคือชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่จะใช้แสงอาทิตย์ในการหลอมเหล็กขอรับ สิ่งนี้จะใช้เป็นการทดลอง หลังจากการเตรียมการ ข้าน้อยก็ต้องการผลิตแก้ว กระจก และอุปกรณ์ชิ้นใหญ่กว่าที่จะละลายเขาต้าหมัวทีละนิด ข้าน้อยได้คิดแล้วว่าจะก่อสร้างโรงงานผลิตแก้ว แต่อาจจะโดนดูถูกได้ เพราะงั้นข้าน้อยจึงได้เตรียมอุปกรณ์ชิ้นนี้และเชื่อว่าคนที่เหลือจะไม่พูดอะไรอีกขอรับ” เหยินปาเชียนตบกล่องแล้วพูดออกมา
นี่คืองานแสดงเตาแสงอาทิตย์ และในทำนองเดียวกันเขากำลังแสดงความสามารถของตัวเองอยู่
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของตน ทัศนคติของเฟิงโหวในท้องพระโรงวันนั้น ตลอดจนทัศนคติของเถาจี้หยวนตั้งแต่ตอนแรก ทำให้เขาตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย
หากไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดในมุมมองของคนอื่น ๆ เขาก็จะได้ข้อสรุปแบบเดียวกันด้วย
เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องการแสดงให้เห็นว่าตนมีความสามารถเพียงใดและรอให้ทุกคนยอมรับ ในวันข้างหน้ามันคงจะสะดวกกว่าที่จะทำสิ่งนั้น ยังไงซะเขาก็ไม่ต้องการโดนสงสัยในทุกสิ่งที่เขาทำ
“ดี” จักรพรรดินีพยักหน้า นางหันกลับไปที่เก้าอี้ของนาง “แจ้งให้ข้าทราบด้วยตอนที่เจ้าเตรียมการเสร็จแล้ว ข้าจะเรียกรวมผู้อาวุโสอันดับสองรวมทั้งคนอื่นด้วยเพื่อเฝ้าดูสิ่งที่เจ้าเตรียมการไว้”
“ขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน” เหยินปาเชียนยกกล่องใบนั้นอย่างระมัดระวังแล้วเดินออกไป เมื่อเขาอยู่ข้างนอกแล้ว เขาก็ไปหาทหารหลวงสองนายแล้วพามาช่วยนำกล่องไปที่สวนสัตว์ผิงเล่อ
เมื่อเขากลับไปที่สวนสัตว์ผิงเล่อ เหยินปาเชียนก็ได้ทำการฝึกฝน [การมโนภาพหยูอี้] ก่อนที่จะล้มลงบนเตียง
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเหยินปาเชียนเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เขาก็ให้ทหารหลวงขนย้ายกล่องจากสวนสัตว์ผิงเล่อไปยังที่ดินเปล่า
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การทดลองนี้ต้องการเพียงสถานที่ที่กว้างขวางและว่างเปล่าที่ดวงอาทิตย์จะไม่ถูกบดบัง
เหยินปาเชียนเปิดกล่องและเผยจานโลหะที่รูปทรงคล้ายกับฝาหม้อ เส้นผ่าศูนย์กลางมีความยาวมากกว่าหนึ่งเมตรโดยประมาณ และด้านบนเป็นทรงสี่เหลี่ยม นอกจากนี้ยังมีกล่องขนาดเล็กอีกสองใบที่บรรจุอยู่ในกล่อง ภายในกล่องเหล่านี้มีเลนส์ขนาดเล็กถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ แสดงราคาให้เห็นประมาณ 2,000 หยวน
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่างานนี้ค่อนข้างลำบากทีเดียว และชนเผ่าที่แขนขาใหญ่พวกนั้นจะไม่ต้องช่วยเขา เหยินปาเชียนกลัวว่าพวกเขาจะใช้กำลังและทำลายจานโลหะแผ่นนี้ หากไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า เขาจะดูแลงานนี้ด้วยตัวเอง และได้ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการติดตั้งเลนส์ ทำให้เขามีอาการปวดแขน
ทหารยามทั้งสองคนไม่ได้ออกไปและมองดูเหยินปาเชียนที่งานยุ่งจากระยะไกล พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำไปในที่ดินเปล่า
นาน ๆ ครั้ง เมื่อสายตาของพวกเขามองผ่านเลนส์ขนาดเล็ก พวกเขาก็รู้สึกไปโดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่ามาก
“มาช่วยข้าถืออันนี้ทีสิ” เหยินปาเชียนพูดกับทหารหลวงสองคนและไปหากิ่งไม้
“ถืออันนี้หันเข้าหาดวงอาทิตย์ตามมุมนี้นะ” เหยินปาเชียนอธิบายทหารหลวงอย่างรอบคอบ
จานนั้นปล่อยลำแสงเปล่งประกายแพรวพราวภายใต้ดวงอาทิตย์ มันเป็นเหมือนขุมทรัพย์ ทหารหลวงคนอื่นใกล้เข้ามาโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากเขาต้องการเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
“อย่าเข้ามาใกล้นะ ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ” เหยินปาเชียนตกใจจากการเคลื่อนไหวของเขา จานนี้ได้สะท้อนจุดรวมแสงของแสงอาทิตย์และสามารถหลอมเหล็กได้โดยตรง ไม่ต้องพูดถึงคนเลย
“เอาล่ะ ถือไว้นะ อย่าขยับ” เหยินปาเชียนสั่งให้ยามยืนอย่างถูกต้องพร้อมกับขยายกิ่งไม้ออกไปหนึ่งเมตรครึ่งจากกึ่งกลางจาน
ในเสี้ยววินาทีนั้นกิ่งไม้ก็มาถึงจุดรวมแสง ทันใดนั้นก็เกิดควัน หลังจากนั้นไม่นานมันก็ติดไฟ
เหตุการณ์นี้ทำให้ทหารยามทั้งสองคนจ้องมองด้วยความอึ้ง จานแผ่นนี้เป็นสมบัติอะไรกันแน่ ?
เหยินปาเชียนกลับไปที่ห้องของตนอีกครั้งแล้วหาแหวนทองเหลืองวงเล็ก เขาคล้องมันไว้บนกิ่งไม้แล้วขยายไปยังจุดรวมแสง ทันใดนั้นกิ่งไม้ก็ติดไฟ อย่างไรก็ตามแหวนทองเหลืองก็เริ่มละลายภายใน 7-8 วินาที ท้ายที่สุดเมื่อมันตกลงพื้น มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่
ดวงอาทิตย์ในโลกนี้ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์บนดาวโลกแถมอุณหภูมิก็สูงกว่าอีกด้วย ส่งผลให้ความเร็วในการหลอมโลหะเร็วกว่าด้วยเช่นกัน
“ท่านผู้รักษาการ สมบัติชิ้นนี้คืออะไรงั้นรึ” ทหารหลวงสองคนนั้นพูดไม่ออก ในที่สุดพวกเขาก็อดถามไม่ได้
เหยินปาเชียนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบ “รายงานพระองค์…ไม่ดีกว่า ข้าจะไปทูลรายงานเอง”
เขาให้คนมาเก็บจานกลับเข้าไปในกล่องแล้วเก็บกล่องกลับเข้าไปในบ้าน จากนั้นเขาก็วิ่งไปที่พระราชวังหย่างซินโดยที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและความคาดหวังที่จะไปหาจักรพรรดินี
“ฝ่าบาท ข้าน้อยเตรียมการสำเร็จแล้วขอรับ ข้าน้อยได้ทำการทดลองเมื่อครู่นี้ มันไม่มีปัญหาอะไรเลยขอรับ” เหยินปาเชียนพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มบนหน้า
“โอ้ว ที่จริงแล้วข้าต้องการดูว่าเจ้าคิดอะไรออกมา แต่ตอนนี้ไม่ต้องรีบไปดูแล้วล่ะ ข้าจะให้คนไปแจ้งผู้อาวุโสอันดับสอง ถูหว่าน และพรรคพวกให้รับทราบ ตอนนี้มากินข้าวกับข้าสิ” จักรพรรดินีพูดอย่างนุ่มนวล
หลังจากที่จักรพรรดินีพูด นางก็วานหงหลวนไปสั่งการให้ทหารหลวงไปแจ้งผู้อาวุโสอันดับสองและเสนาบดีกรมพระคลัง ถูหว่าน เหรัญญิกหลวง กู่เย่ เสนาบดีกรมโยธาธิการ ถงเจิ้นเหย่ รวมถึงผู้คุมกำลังทหาร เฟิงโหว เป็นต้น
“ฝ่าบาท การผลิตเตาแสงอาทิตย์นั้นจำเป็นต้องใช้กระจก ข้าน้อยขอแนะนำว่าพวกเราควรจะสร้างโรงงานผลิตแก้วในนามของพระราชวัง ซึ่งการผลิตแก้วกับกระจกจะสามารถหมุนเวียนไปยังตลาดได้ นอกจากนี้ยังสามารถขายให้กับคนรวยในต่างแคว้นได้อีกด้วยขอรับ ข้าน้อยเชื่อว่าพวกเค้าจะยินดีจ่ายในราคาสูงสำหรับสินค้าเหล่านี้ หลังจากนั้นพวกเราจะสามารถใช้เงินจำนวนนี้ซื้อวัตถุดิบแล้วส่งมันกลับมาได้โดยตรง ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสินค้าในแคว้นของพวกเราขอรับ”
“ในนามของพระราชวังงั้นรึ ?” จักรพรรดินีไม่ได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการสะสมทรัพย์สมบัติเลย
“ถูกต้องแล้วขอรับ พระราชวังจะส่งกำลังคนไปผลิตแก้วกับกระจก ตั้งร้านค้าเพื่อขายของเหล่านี้ รวมถึงตั้งขบวนพ่อค้าเพื่อขนส่งสิ่งของเหล่านี้ไปยังแคว้นอื่น จากนั้นพวกเราก็จะใช้เงินที่ได้จากการขายเพื่อซื้อสินค้าอื่น เพิ่มราคาเล็กน้อยก่อนขายในแคว้นของพวกเรา ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ชาวบ้านได้รับผลประโยชน์และขอบคุณฝ่าบาทเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องทรัพย์สมบัติของพระราชวังอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน มันจะถูกควบคุมโดยพระราชวังทั้งหมด ซึ่งจะป้องกันปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายที่จะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ขอรับ” เหยินปาเชียนอธิบาย
“ถ้าเจ้าคิดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ล่ะนะ” จักรพรรดินีพยักหน้าเห็นด้วย
“เจ้าต้องการจัดตั้งขบวนพ่อค้าสินะ ?” จักรพรรดินีถามออกมา
“ขอรับ สถานการณ์ปัจจุบันต้องลงมือเช่นนี้ การขนส่งสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อขายจะได้ผลกำไรมาก พวกเราสามารถเติมเต็มพระคลังหลวงได้ทุกเมื่อที่ต้องการขอรับ
ยกตัวอย่างเช่น กระจก ถ้าหากว่าต้นทุนในการผลิตเป็นเงิน 2 ตำลึงครึ่ง พวกเราสามารถขายเป็นเงิน 5 ตำลึงในแคว้น แต่พอมันถูกขนส่งไปขายในแคว้นอื่น พวกเราจะสามารถขายมันได้เป็นเงิน 15 ตำลึง เงินจำนวนนี้จะไหลจากแคว้นอื่นมาสู่แคว้นของพวกเรา และการค้าขายเช่นนี้จะทำให้แคว้นของพวกเราร่ำรวยยิ่งขึ้นขอรับ
นอกจากนี้ เป็นเวลานานแล้วที่แคว้นอื่นได้ขายสินค้าของพวกเค้ามายังแคว้นของพวกเรา ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะช่วยเติมเต็มการขาดแคลนสินค้าในต้าเย่า แต่หากพวกเราดำเนินต่อไปแบบนี้ ความมั่งคั่งของต้าเย่าจะไหลออกไป และพวกเราก็จะต้องฝากชีวิตของเหล่าขุนนางไว้กับแคว้นอื่นขอรับ
อีกทั้งพวกเรายังสามารถตั้งขบวนพ่อค้า ซึ่งจะไม่เพียงแต่ทำให้การค้าขายหมุนเวียนได้เท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดดุลยภาพด้วย ในขณะเดียวกันพวกเราก็สามารถรับข่าวของแคว้นอื่นผ่านทางขบวนพ่อค้าเหล่านี้ได้ขอรับ” เหยินปาเชียนอธิบายความรู้ทางเศรษฐกิจอย่างง่ายที่ทุกคนบนดาวโลกมี