TERTA:บทที่ 17 ซุ่มโจมตี
17 ViewsTERTA:บทที่ 17 ซุ่มโจมตี
“โทษของเจ้าคือตาย!” หลีมูเชาประหลาดใจที่เห็นหลีเย่พยายามจะต่อยดาบลมปราณด้วยหมัด
ดาบนี้เป็นอุปกรณ์เวทย์มนต์ ต่อให้ร่างของผู้ใช้ปราณจะมีพลังปราณคอยปกป้องอยู่แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นกายเนื้อที่ปะทะกับดาบอยู่ดี
เมื่อเห็นหลีเย่ต่อยเข้ามาแบบนั้นพร้อมกับที่เริ่มมีเมฆประหลาดลอยออกมาด้วย หลีมูเชามั่นใจเลยว่านั่นไม่ใช่วิชาธรรมดาๆ เขาไม่ยอมโดนมันตรงๆแน่
“ตาข่ายดาบแสงตะวัน!” หลีมูเชาตะโกนจากนั้นดาบปราณของเขาก็สร้างตาข่ายขึ้นมา เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
เขามั่นใจว่าตาข่ายนั่นจะดักหลีเย่ให้อยู่ข้างในนั้นได้
หลีมูเชานั้นชำนาญการต่อสู้มาก
แม้ว่าจะมีทหารมากมายพยายามตั้งโล่เพื่อสกัดเขา ตาข่ายของหลีมูเชาก็สามารถดักทหารพวกนั้นและฆ่าพวกเขาได้ทั้งหมด
มันมีพลังมากพอที่จะทำลายขบวนทัพทหารได้ แล้วถ้าเป็นแค่เป้าหมายที่มีเพียงคนเดียวล่ะ?
ในฐานะข้ารับใช้ของหลีเหยา หลีมูเชาก็มีพลังปราณในระดับเดียวกับซูเช่าหลีแต่กลับแข็งแกร่งกว่าในด้านกำลังกายภาพ ยิ่งไปกว่านั้นดาบที่เขามีก็คืออุปกรณ์เวทย์มนต์ด้วย
หลีเย่ไม่ได้คิดจะหลบตาข่ายนั่นและเลือกที่จะพุ่งตรงเข้าไปเลย หลีมูเชาที่เห็นแบบนั้นก็นึกภาพของหลีเย่ที่ถูกจับอยู่ในตาข่ายได้เลย
ตวัดดาบครั้งสุดท้ายหลีมูเชายิ้มและพูด “ข้าจะส่งเจ้าไปสวรรค์!”
แต่ทว่าร่างของหลีเย่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีม่วง เขากระโดดขึ้นไปบนเมฆนั่นและหมัดของเขาก็พุ่งขึ้นสู่อากาศ
เขาดูสง่าพร้อมๆกับเส้นผมที่พลิ้วไสวในกลุ่มเมฆสีม่วงนั่น
ราวกับว่าเขาคือเซียนโผล่ขึ้นมาจากเมฆทางทิศตะวันออกยามรุ่งสางก็ไม่ปาน
หลังจากเกิดระเบิดจากหมัดของหลีเย่หลายต่อหลายครั้ง ตาข่ายของหลีมูเชาก็ขาดสะบั้นลงรวมไปถึงดาบปราณของเขาก็หายไปราวกับภาพลวงตา
หมัดของหลีเย่ต่อยทะลุสิ่งกีดขวางทุกอย่าง และไปชนเข้ากับหน้าอกของหลีมูเชา
“เป็นไปไม่ได้!” หลีมูเชาตะลึงพร้อมหวาดผวา
แต่ใบหน้าของหลีเย่ที่อยู่ใกล้เขานั้นช่างสงบเงียบ
ผัวะ! หมัดของหลีเย่กระทบกับหน้าอกของของหลีมูเชา เขากระอักออกมาและกระเด็นไปชนกับกำแพงจนกระเด็นกลับมาอีกรอบ
ร่างของเขาล้มลงบนพื้นที่แตกกระจาย ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว เขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่ก็ได้แค่เพียงคุกเข่าขึ้นมาเท่านั้น ดวงตาของเขามองไปที่หลีเย่อย่างเหนือความคาดหมาย
ตอนที่เขารู้ว่าซูเช่าหลีแพ้แก่หลีเย่ เขาก็ได้แต่หัวเราะเยาะความอ่อนแอของหมอนั่นในใจ แต่ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมซูเช่าหลีถึงได้พ่ายแพ้แบบนั้น
การไม่ยอมรับคือหนทางแห่งความกล้าหาญ เพราะถ้าเขายอมรับมันก็เท่ากับว่าเขากำลังกลัวมันอยู่
“มันคือวิชาอะไรน่ะ… ทำไมถึงได้แข็งแกร่งแบบนี้!” หลีมูเชาคิดในใจ
“แต่ว่า… มันยังไม่พอหรอก!”
ผู้ใช้ปราณมากมายหลั่งไหลผ่านตัวหลีมูเชาและไปโจมตีหลีเย่ สร้างลูกไฟและดาบปราณนับไม่ถ้วนใส่เขา ภาพที่เห็นในตอนนี้ราวกับว่ากำลังเกิดอุกกาบาตกำลังพุ่งถล่มลงมา
“หลีเย่ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน แต่แกก็ต้านการโจมตีต่อเนื่องไมได้หรอก!” หลีมูเชามองไปที่หลีเย่ด้วยสายตาเกลียดชังพร้อมความโกรธ “เจ้าล้มข้าได้แล้วยังไงต่อล่ะ? คนของข้าเยอะกว่าเจ้า ในไม่ช้าเจ้าจะต้องตาย!”
หลีมูเชาคลุ้มคลั่ง เพราะว่าถูกล้มโดยหลีเย่เพียงหมัดเดียว ความมั่นใจในตัวของเขาสลายหายไปในทันที และในตอนนี้เขารู้สึกภูมิใจที่กำลังเห็นภาพพวกพ้องของเขากำลังปล่อยพลังใส่หลีเย่
“ในโลกนี้น่ะผู้แข็งแกร่งนั้นไร้ความหมาย! พรรคพวกที่แข็งแกร่งน่ะเอาชนะทุกสิ่งเว้ย!” หลีมูเชากระอักเลือดออกมา เขามองหน้าหลีเย่ด้วยสายตาคาดหวังว่าเขาจะถูกปราบลงได้ด้วยพลังปราณมากมายบนท้องฟ้า
แต่ทว่าหลีเย่ที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังในสวน สายตาของเขามองลงมาด้วยความเหยียดหยาม
นั่นทำให้หลีมูเชาแทบจะสบถคำด่าทอออกมา แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างนั้นสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าเขาก็ทำให้เขาพูดไม่ออก
โล่สีขาวโผล่ขึ้นมาครอบตัวหลีเย่ไว้และปกป้องตัวเขา หลีเย่ที่อยู่ข้างในนั้นดูสงบมาก
“นี่มัน…” หลีมูเชางุนงง และเขานึกขึ้นมาได้ว่านั่นคือค่ายกลขนาดเล็กที่อยู่ในน้ำเต้าหยกนั่น
“เจ้าโง่! ค่ายกลนั่นมันต้านทานผู้ใช้ปราณหลายคนแบบนี้ไม่ได้หรอก ต่อให้พวกเราไม่มีธงเขย่าเมฆาก็สามารถทลายโล่เจ้าได้!”
พลังทั้งหมดพุ่งเข้าใส่โล่สีขาวนั่น
ทันใดนั้นโล่สีขาวก็เปล่งแสงสีเขียวออกมาและทำให้สีขาวกลายเป็นสีน้ำเงิน
การโจมตีทั้งหลายพุ่งเข้าใส่โล่นั่นอย่างหนักหน่วง เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
แต่กลับไม่มีพลังไหนที่สามารถทะลุเข้าไปในโล่ของหลีเย่ได้เลย
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“บ้าน่า!”
ผู้ใช้ปราณทั้งหลายตกใจกับภาพที่เห็น ในตอนที่พวกเขามายังที่นี่หลีเหยาได้บอกไว้ว่าหลีเย่มีแค่เพียงค่ายกลเล็กเท่านั้น
แต่ทำไมค่ายกลเล็กนั่นถึงต้านทานการโจมตีจากผู้ใช้ปราณหลายคนได้แบบนี้ล่ะ? ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ไม่ได้ผลซักนิด
“อีกรอบนึง!”
“รวมพลังกันอีกครั้ง!”
ผู้ใช้ปราณระดับสองหลายคนตะโกนบอกกัน การที่พวกเขาไม่สามารถทำลายค่ายกลเล็กๆนั่นได้ถือว่าเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง
“เคล็ดวิชาเพลิงโลกันต์!”
“ดาบลมปราณ!”
พวกเขาตะโกนเสียงต่ำและปลดปล่อยลูกไฟกับดาบปราณใส่โล่สีน้ำเงินนั่นอีกครั้ง
แต่ถึงกระนั้นโล่นั่นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพังทลายเลยแม้แต่น้อย
ในจุดๆนี้ ทุกคนได้แต่ตกตะลึง
หลีเหยาที่อยู่ข้างนอกกำลังโกรธได้ที่ “เกิดอะไรขึ้นวะ?!”
เขาหันไปหาคำตอบจากเสนาบดีของเขา “น้ำเต้าหยกนั่นเป็นของเจ้าใช่ไหม? งั้นตอบมาซะว่ามันเกิดอะไรขึ้น?!”
ที่ปรึกษาของเขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่เขาจะหน้าถอดสี “ตอนที่อาจารย์ของข้ามอบน้ำเต้านั่นมาให้ เขาบอกว่าค่ายกลเล็กนั่นอาจจะมีค่ายกลใหญ่ซ่อนอยู่ข้างใน!”
“ค่ายกลใหญ่งั้นเหรอ?” หลีเหยางุนงง เขามั่นใจว่าเขาคือเด็กอัจฉริยะแห่งราชวงศ์ถัง ไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้จัก แต่ทันทีที่เขาได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลใหญ่นี่ เขาก็โกรธถึงที่สุด “เจ้าให้อุปกรณ์เวทย์มนต์กับหลีเย่ไปอย่างนั้นเหรอ?”
“…”
สภาพเขาตอนนี้ราวกับว่ากำลังกลืนยาขมลงไปทั้งคอ เขาพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าน้ำเต้านั่นจะตกไปอยู่ในมือของหลีเย่
เสนาบดีพูดอย่างขมขื่น “ค่ายกลใหญ่นั่นช่างประหลาดยิ่ง หลายๆคนน่าจะรู้โครงสร้างของมันดี แต่มันช่างน่าแปลกยิ่งว่าทำไมข้าถึงไม่รู้ตัวว่ามีมันอยู่ข้างในน้ำเต้านั่น… และถ้าข้าไม่เอามันไปวางไว้ที่ไท่ฉวนด้วยล่ะก็…”
“สารเลวเอ้ย!” คำอธิบายของที่ปรึกษาของของหลีเหยา ไม่ได้ช่วยให้เขาลดความโกรธลงได้แม้แต่น้อย
“นายน้อย..”
“บอกข้ามาว่าค่ายกลใหญ่นั่นจะทำลายมันได้ยังไง?!”
“เอ่อ… ค่ายกลนั่นประหลาดก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะทำลายไม่ได้ ตราบเท่าที่มีธงค่ายกล…” เสนาบดีครุ่นคิดพลางมองไปที่ตำหนัก และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “น่ะ… นั่นมัน? ธงเขย่าเมฆา?”
ธงเขย่าเมฆานั่นอยู่ด้านในค่ายกลนั่น
หลีเหยาเองก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
นั่นคือธงเขย่าเมฆา เขาให้มันไว้กับซูเช่าหลีเพื่อทลายค่ายกลเล็กนั่น
จริงๆแล้วซูเช่าหลีสามารถทำลายค่ายกลเล็กนั่นได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะเกิดเสียงดังดึงดูดพวกทหารยามรอบๆตำหนักได้ ดังนั้นหลีเหยาจึงมอบธงเขย่าเมฆาให้กับเขา
“เขามีธงเขย่าเมฆาคอยเสริมกำลังให้กับค่ายกลใหญ่นั่น ถ้าไม่ใช่สุดยอดผู้ใช้ปราณล่ะก็ไม่มีใครทำลายมันได้แน่” เสนาบดีบอกกับเขา
“ไอ้เวรเอ้ย!” หลีเหยาโกรธจัดจนหยิบหินมาและกระทืบมันจนแหลก
จากนั้นเขาก็กัดฟันพูด “มันมีวิชาปราณที่เก่งกาจและปราบหลีมูเชาได้ และตอนนี้มันยังจะสร้างค่ายกลใหญ่นั่นได้อีก ใครหนุนหลังมันอยู่วะ?”
ที่ปรึกษาของเขาพูด “นายน้อยดูนั่น!”
ค่ายกลใหญ่นั่นกำลังเปลี่ยนรูปร่าง
ทหารยามจำนวนหลายร้อยนายเข้ามาพร้อมกับธนูและหน้าไม้ พวกเขาเล็งไปที่ผู้ใช้ปราณด้านนอกค่ายกลใหญ่นั่น ภายใต้การบัญชาจากนายพลคนหนึ่ง
“ยิงได้!” ฉางกวงออกคำสั่ง
เสียงคันธนูและสายรั้งดังระงมกันถ้วนหน้า ลูกธนูนับร้อยนับพันพุ่งเข้าใส่เป้าหมาย
ในระยะกระชั้นชิดแบบนั้นแม้ผู้ใช้ปราณระดับหนึ่งก็สามารถบาดเจ็บร้ายแรงได้เช่นกัน
ผู้ใช้ปราณทั้งหลายหันกลับมมาร่ายโล่พลังกันยกใหญ่ บางคนก็ร่ายดาบปราณเพื่อป้องกันตัวเอง หรือบางคนก็พยายามรีบหนี
ขบวนทัพของพวกเขาแตกพ่ายแล้ว!
หลีมูเชาที่ยืนอยู่หน้าประตูได้แต่หน้าถอดสีทันทีที่เห็นภาพเหล่านี้ “นี่มัน…ดักซุ่มโจมตี”
ใช้แล้ว มันคือการซุ่มโจมตี
ไม่เช่นนั้นนักธนูหลายร้อยนายคงไม่มาที่นี่กันหรอก
หรือไม่ก็การป้องกันของยามที่ประตูแรกคงจะไม่อ่อนแอขนาดนี้หรอก
มันคือการโจมตีที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากนักธนูที่เข้ามานั้นก็มีทหารติดโล่กับดาบเข้ามาด้วย พวกเขาแบ่งกันเป็นหลายหน่วยคอยปกป้องเหล่านักธนู แถมถ้าเกิดว่าผู้ใช้ปราณคนไหนโดนโจมตีแล้วล่ะก็พวกเขาจะพุ่งเข้าไปฆ่ามันทันที
หลีมูเชาอ้าปากค้างนึกอะไรไม่ออกนอกจากหันไปมองทางที่หลีเหยาอยู่
ภายใต้ห่าธนูนั่นหลีเย่ลบล้างค่ายกลตัวเองทิ้งและพุ่งออกมาจัดการกับผู้ใช้ปราณรอบๆ
“หมัดมวลเมฆา!”
ศัตรูที่อยู่ใกล้ที่สุดกับหลีเย่ กำลังกางโล่พลังป้องกันธนูอยู่ หลีเย่พุ่งกระโดดออมาอย่างรวดเร็วราวกับกระสุนปืน
ผู้ใช้ปราณตะลึงและไม่สามารถหลบได้ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือย้ายพลังปราณทั้งหมดมาเสริมให้กับโล่เพื่อป้องกันจากหลีเย่
แต่ทว่าเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่เขาจะป้องกันหมัดจากผู้ใช้ปราณระดับสองได้จริงๆงั้นเหรอ? ขนาดหลีมูเชายังป้องกันไมได้เลยนะ?
หลีเย่ต่อยทะลุโล่พลังไปโดนท้องของผู้ใช้ปราณ ร่างของเขาหักงอราวกับกุ้ง จากนั้นหลีเย่จึงฟันศอกเข้าใส่ต้นคออีกทีหนึ่งจนเขาสลบลงไป
ทหารของหลีเย่รีบวิ่งเข้ามาทันที
“สังหารเขาเสีย!”
ทันทีที่หลีเย่ออกมาจากค่ายกลใหญ่ ผู้ใช้ปราณคนอื่นก็หันมาโจมตีเขาพร้อมๆกับปัดป้องลูกธนูไปด้วย
แต่หลีเย่ก็หลบได้ทันก่อนที่ลูกไฟเหล่านั้นจะโดนตัวเขา เขารีบกลับเข้าไปในค่ายกลใหญ่นั่น
“เจ้าคนขี้ขลาด!”
ผู้บุกรุกทั้งหลายสบถด่าด้วยความโกรธ
หลีเย่พุ่งเข้าออกจากค่ายกลนั่นอยู่พักใหญ่และออกหมัดอีกหนึ่งกระบวนท่า!